ออกแบบตกแต่งภายใน คิดราคาอย่างไร

ออกแบบตกแต่งภายใน

บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 2ชั้น ทาวน์โฮม คอนโด ร้านค้า ห้องต่างๆมีหลักการ ออกแบบตกแต่งภายใน คิดราคาอย่างไร สำหรับคนงบน้อย อยากทำในราคาถูกประหยัด ต้องอ่านบทความนี้

ออกแบบตกแต่งภายใน ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน งานออกแบบตกแต่งภายในเป็นสิ่งที่ตอบสนองการใช้งานพื้นที่ และเปรียบเสมือนการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กรที่สะท้อนผ่านงานตกแต่งภายใน ทั้งนี้งานดังกล่าวจะสำเร็จลุล่วงตามเป้าประสงค์ได้ ขึ้นอยู่กับอินทีเรีย(มัณฑนากร)หรือนักออกแบบตกแต่งภายใน

มัณฑนากรคืออะไร สำคัญอย่างไรต่องานออกแบบตกแต่งภายใน

มัณฑนากร (Interior designer) คือ นักออกแบบตกแต่งภายใน มีหน้าที่ออกแบบ วางแผนและควบคุมงานสถาปัตยกรรมภายในอาคาร ซึ่งมัณฑนากรเป็นอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานตกแต่งภายในโดยเฉพาะ ทั้งในด้านศิลปะ รายละเอียดความสวยงามและด้านมาตรฐานการออกแบบในเชิงโครงสร้าง

 

ออกแบบตกแต่งภายใน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว คอนโด กับ UREBUILD

ออกแบบตกแต่งภายใน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว คอนโด โดยอินทีเรียดีไซเนอร์(มัณฑนากร) มืออาชีพ กับ UREBUILD

รับออกแบบงานบิ้วอิน(Built-in) งานออกแบบ 3D รีโนเวท ด้วยทีมออกแบบมืออาชีพที่มีประสบการณ์นานหลายปี อินทีเรียดีไซเนอร์(มัณฑนากร) รับออกแบบตกแต่งภายใน Built-in ผลิตเฟอร์นิเจอร์ Built-in ปรึกษาประเมินราคาฟรี คุมงบตกแต่งได้ไม่บานปลาย รับตกแต่งทุกสไตล์ เช่น แนว Minimal Muji Classic Modern Loft Contemporary luxury ญี่ปุ่นjapanese

  • ควบคุมคุณภาพงานออกแบบและรับเหมาตกแต่งภายในโดยวิศวกรและสถาปนิกให้ออกมาได้คุณภาพเกินมาตรฐาน ฟังก์ชั่นการใช้งานครบครัน
  • มีทีมให้บริการครบวงจร Turnkey รับเหมาตกแต่งครบวงจร
  • ติดต่อทำงบประมาณได้ทันที ปรึกษาฟรี เรามีทีมงานมือาชีพ มากประสบการณ์ บริการประทับใจ
  • ให้บริการ รับเหมาตกแต่งภายใน รับออกแบบและตกแต่งภายใน ที่อยู่อาศัย บ้าน คอนโด ร้านอาหาร สำนักงาน ตกแต่งภายในครบวงจร office interior design ตามแบบไลฟ์สไตล์คุณ
  • รับออกแบบตามงบประมาณ ราคาไม่แพง พร้อมเนรมิตบ้านธรรมดา ให้เป็นบ้านในฝัน โดยทีมช่างที่มากด้วยประสบการณ์ด้านการรับออกแบบภายในบ้าน
  • ใส่ใจทุกรายละเอียดในการทำงาน จริงใจไม่ทิ้งงาน พร้อมให้คำปรึกษา วางแผนร่วมกันกับลูกค้า ประเมินราคาถึงหน้างาน วางแผนงานให้ตั้งแต่ต้นจนจบ

เราเป็นบริษัทที่รับออกแบบและตกแต่งภายในที่พักอาศัยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร คอนโด โรงแรม รวมถึงงานเฟอร์นิเจอร์ บิวท์อิน และงานก่อสร้าง ด้วยบริการที่ครบ จบในที่เดียว

ออกแบบ ให้คำปรึกษาทุกขั้นตอนมืออาชีพ ดูแลอย่างเป็นกันเอง ตามงบประมาณประสบการณ์นานหลายปี

บริการของ UREBUILD >> รับออกแบบตกแต่งภายใน

 

สารบัญ

 

 

งานออกแบบ คืออะไร

การออกแบบ (Design) คือ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือปรับปรุงดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม และต้องใช้ศิลป์ร่วมด้วย เป็นการถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงานที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้

งานออกแบบมีหลายประเภทที่รู้จักและคุ้นเคยกันดี ได้แก่การออกแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นการออกแบบเพื่อการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ งานออกแบบภายนอกและออกแบบภายในหรือออกแบบอินทรีเรียร์ คือส่วนหนึ่งของงานด้านสถาปัตยกรรม

งานออกแบบภายนอก คืออะไร

การออกแบบภายนอก ( EXTERIOR DESIGN ) คือ การออกแบบ รวมทั้งกำหนดวัสดุ ผิวสัมผัส สี ภายนอกอาคารให้สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและรูปทรงของอาคารด้วยงาน จิตรกรรม ประติมากรรม การประดับ ประปรับภูมิทัศน์ การใช้พันธุ์ ไม้ประดับ การใช้เหล็กดัด รวมทั้งการออกแบบตกแต่งหน้าร้าน และการ ออกแบบร้านในงานมหกรรมต่าง ๆ

การออกแบบตกแต่งภายใน คืออะไร

การออกแบบภายใน (INTERIOR DESIGN) คือ การออกแบบจัดผังห้องและตกแต่งห้องภายในบ้าน ภายในอาคาร ให้ดูสวยงามมีบรรยากาศเหมาะสมกับชีวิตประจำวันของผู้พักอาศัย และยังเป็นงานออกแบบอินทรีเรียร์หรือการออกแบบและการตกแต่งที่ต้องคำนึงถึงฟังก์ชั่นและการใช้งานของพื้นที่ใช้สอย่างลงตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด

การออกแบบตกแต่งภายใน จำเป็นต้องจ้างออกแบบอินทรีเรีย หรือไม่

ออกแบบอินทีเรียหรือออกแบบภายใน ไม่ใช้เฉพาะออกแบบจัดผนังห้องและตกแต่งภายในที่มุ่งเน้นความสวยงามและการจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ใช้สอยได้อย่างลงตัวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยของห้องต่าง ๆ ตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ การใช้สี การจัดแสงไฟ การเลือกใช้วัสดุและของตกแต่งต่าง ๆ หรือออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ตอบสนองต่อการใช้สอยสูงสุดด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ออกแบบอินทรีเรียร์หรือมัณฑนากรเท่านั้นที่มีความรู้และมีหลักในการออกแบบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

การออกแบบตกแต่งภายในโดยมัณฑนากรหรือว่าจ้างบริษัทรับออกแบบอินทรีเรียร์ นอกจากช่วยให้ที่อยู่อาศัย หรือทำให้การตกแต่งอาคารสำนักงาน และออฟฟิศมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้นแล้ว การตกแต่งที่สวยงามโดดเด่นยังเป็นสิ่งที่จะแสดงถึงสไตล์ หรือรสนิยมของเจ้าของบ้านเจ้าของอาคารสถานที่แห่งนั้นอีกด้วย

 

เหตุผลที่งานออกแบบตกแต่งภายในขาดมัณฑนากรไม่ได้

ความสำคัญของมัณฑนากรต่องานออกแบบตกแต่งภายใน

ดังที่กล่าวไปข้างต้น งานออกแบบตกแต่งภายใน เป็นงานที่ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ในการรังสรรค์พื้นที่ หากขาดผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินงาน พื้นที่ดังกล่าวอาจไม่สมบูรณ์แบบตามที่ผู้ว่าจ้างคาดหวังไว้ ดังนั้นมัฑนากรจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสานต่อจุดประสงค์ของผู้ว่าจ้างให้เป็นไปตามความต้องการ โดยสิ่งที่มัณฑนากรจะเข้ามีบทบาทในงานออกแบบตกแต่งภายใน มีดังนี้

1. ความสวยงามและการใช้งาน

หัวใจสำคัญของงานออกแบบตกแต่งภายในคือ ความสวยงามและประโยชน์การใช้งาน เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของมัณฑนากรในการสร้างสรรค์ขึ้น ผ่านความรู้ ความเข้าใจในงานศิลปะ การจัดวางพื้นที่จนไปถึงหลักการออกแบบให้เป็นไปตามมาตรฐานสัดส่วนของมนุษย์ (หลัก Human Scale) ส่งผลให้งานออกแบบตกแต่งภายในจำเป็นต้องมีมัณฑนากรเพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ให้สวยงามและตอบโจทย์ลักษณะการทำงาน

2. ออกแบบพื้นที่ได้ตรงตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง

มัณฑนากรมีหน้าที่สานต่อความต้องการของผู้ว่าจ้างสู่งานออกแบบตกแต่งภายใน ด้วยการเริ่มต้นรับรายละเอียดความต้องการของผู้ว่าจ้าง จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์และนำเสนอแบบแผน ซึ่งลักษณะงานดังกล่าวที่ผ่านกระบวนการพูดคุย กลั่นกรองแนวคิด และทบทวนความต้องการของผู้ว่าจ้าง ทำให้งานออกแบบของมัณฑนากรตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง

3. มัณฑนากรมีความเข้าใจพื้นที่

ความเข้าใจของพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญของการออกแบบภายใน หากเข้าใจพื้นที่จะสามารถผลักดันศักยภาพในการใช้งานพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้ใช้พื้นที่ โดยมัณฑนากรจะวิเคราะห์ข้อมูล และออกแบบตอบสนองการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อาทิ ผู้ใช้งานห้องประชุม Board room ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหาร ดังนั้นงานตกแต่งภายในนอกจากการใช้งานแล้ว ต้องสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยของระดับผู้บริหาร เพราะถือเป็นหน้าตาขององค์กร เป็นต้น

4. ความเชี่ยวชาญในการออกแบบตกแต่งภายใน

การออกแบบตกแต่งภายในถือเป็นงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ เนื่องจากมีรายละเอียดและองค์ประกอบจำนวนมาก ทั้งโครงสร้าง การเลือกใช้วัสดุและสีสันให้เหมาะกับพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญอย่างห้องประชุม

ซึ่งทุกวัสดุที่เลือกใช้เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของห้องทั้งสิ้น โดยผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงค่าอะคูสติก การทำงานร่วมกับระบบโสตทัศนูปกรณ์จนถึงการแสดงอัตลักษณ์ขององค์กร ดังนั้นความเชี่ยวชาญจากมัณฑนากร จึงมีส่วนสำคัญในการออกแบบตกแต่งภายในห้องประชุม

5. มาตรฐานของงานออกแบบภายใน

มัณฑนากรมีหน้าที่ในการควบคุมการออกแบบภายในให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย TIDA ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างมาตรฐานการปฏิบัติอย่างมืออาชีพ สำหรับสมาชิกทุกคนรวมถึงนักออกแบบตกแต่งภายใน สถาปนิกภายใน นักวิชาการ และบริษัทออกแบบตกแต่งภายใน / สถาปัตยกรรม ดังนั้นการมีมัณฑนากรในงานออกแบบภายใน จึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อสร้างมาตรฐานและความมั่นใจให้กับโครงการ

 

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องพบกับมัณฑนากร

หลังจากทราบความสำคัญของมัณฑนากรต่องานออกแบบตกแต่งภายในแล้ว อีกหนึ่งประการที่ช่วยให้มัณฑนากรตอบสนองความต้องการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ คือ การสื่อสาร เพราะหากสื่อสารความต้องการไม่ชัดเจน อาจทำให้การทำงานล่าช้าหรือผลลัพธ์ของงานอาจไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ดังนั้นผู้ว่าจ้างควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนพบมัณฑนาการ โดยข้อมูลที่ควรเตรียมมีดังนี้

1. ทำความเข้าใจจุดประสงค์ของพื้นที่

ความต้องการขั้นพื้นฐานเริ่มต้นจาก ความเข้าใจจุดประสงค์ของการใช้งานพื้นที่ และรูปแบบการใช้งาน อาทิ พื้นที่ห้องประชุม ถึงแม้ว่าเป็นห้องประชุมแต่วัตถุประสงค์การใช้งานก็แตกต่างกันตามแต่ละประเภท เช่น ห้องประชุมแบบ Board room มีจุดประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตัดสินใจ ส่วนห้องประชุมแบบ Conference room มีจุดประสงค์เพื่อสื่อสารให้พนักงานหรือผู้เข้าร่วมประชุมเข้าใจ ดังนั้นงานออกแบบตกแต่งภายในของทั้งสองห้องจึงแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์

2. ศึกษาลักษณะการใช้งานของพื้นที่

หลังจากเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพื้นที่แล้ว ลำดับต่อมาคือทำความเข้าใจถึงลักษณะการใช้งาน เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความต้องการลักษณะการใช้งาน ให้มัณฑนากรเข้าใจและออกแบบภายในได้ตามความต้องการ อาทิ พื้นที่ห้องประชุมแบบเอนกประสงค์ มีลักษณะการใช้งานที่ยืดหยุ่นตามกิจกรรมที่จัดภายในห้อง

ดังนั้นงานออกแบบภายในจึงมุ่งเน้นให้พื้นที่โปร่งโล่งสบาย แต่ทั้งนี้ห้องประชุมแบบดังกล่าว อาจต้องรองรับแขกจากภายนอกด้วย การใช้งานห้องประชุมจึงไม่ใช้แค่เพียงการจัดกิจกรรม แต่เป็นการนำเสนออัตลักษณ์ขององค์กรผ่านสถาปัตยกรรม งานออกแบบตกแต่งภายในจึงต้องสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์ด้วยเช่นเดียวกัน

3. วิเคราะห์ผู้ใช้งาน

ไม่เพียงแต่วัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานเท่านั้น งานออกแบบตกแต่งภายในควรคำนึงถึงผู้ใช้งานในพื้นที่ โดยผู้ว่าจ้างควรเริ่มต้นจากวิเคราะห์ถึงกลุ่มผู้ใช้งานพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้งานออกแบบตอบสนองการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อาทิ ห้องประชุมแบบ War room ที่ต้องผู้ใช้งานเป็นผู้บริหารเป็นหลัก ดังนั้นการออกแบบตกแต่งภายในจึงต้องเอื้อต่อการทำงาน การตัดสินใจ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายให้กับผู้บริหาร

 

การคิดค่าบริการ ออกแบบตกแต่งภายใน

เมื่อมีการว่าจ้างสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารก็คล้ายกับการจ้างงานในวิชาชีพอื่นๆ ก็จะมีเรื่องค่าบริการวิชาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทนายความ หรือแพทย์เป็นต้น ซึ่งค่าจ้างตรงนี้เป็นคนละส่วนกับค่าก่อสร้าง หรือค่าตกแต่งภายใน โดยแต่ละบริษัทจะมีวิธีการคิดค่าบริการที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลักๆคือ

1. คิดตามพื้นที่ออกแบบ

การคิดค่าออกแบบตามพื้นที่ออกแบบ เป็นการคิดค่าบริการโดยประเมินจากพื้นที่ที่ต้องการออกแบบ โดยสถาปนิกจะสอบถามข้อมูลความต้องการจากท่าน แล้ววิเคราะห์และประเมินว่าอาคารดังกล่าวมีพื้นที่กี่ ตรม. โดยทั่วไปจะถูกใช้ในการคิดคำนวณค่าออกแบบตกแต่งภายใน แต่ก็จะมีหลายบริษัทที่นำมาใช้คำนวณค่าบริการออกแบบสำหรับสถาปัตยกรรมตัวอาคารด้วย ซึ่งราคาค่าออกแบบต่อ ตรม. ของแต่ละบริษัทจะมีความแตกต่างกัน

และหากเป็นค่าออกแบบภายในจะมีราคาสูงกว่าค่าออกแบบสถาปัตยกรรมตัวอาคารภายนอก และทั้งนี้ค่าออกแบบยังขึ้นกับขอบเขตงาน ขนาดพื้นที่ออกแบบ ความยากง่ายของการออกแบบ ความชำนาญของสถาปนิก

ตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างที่1 ต้องการออกแบบตกแต่งภายในอาคาร 300 ตรม.
ถ้าค่าบริการตรม.ละ1,000 จะเท่ากับค่าออกแบบ 300×1,000
เท่ากับ 300,000บาท

ตัวอย่างที่2 ต้องการออกแบบสถาปัตยกรรมบ้านพักอาศัย 300 ตรม.
ถ้าค่าบริการตรม.ละ 500 จะเท่ากับค่าออกแบบ 300×500
เท่ากับ 150,000บาท

2. คิดเป็นเปอร์เซนต์ ของมูลค่าก่อสร้าง

การคิดเป็นลักษณะเปอร์เซนต์ ของมูลค่าค่าก่อสร้าง คือการที่สถาปนิกจะวิเคราะห์ราคาค่าก่อสร้างจากประสบการณ์โดยดูจากรูปแบบอาคาร ขนาดของอาคาร วัสดุที่น่าจะเลือกใช้ เป็นต้น จากนั้นนำราคาที่ได้มาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ตามที่บริษัทนั้นกำหนด ซึ่งแต่ละบริษัทมีอัตราค่าบริการที่แตกต่างกัน

โดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้มีมาตรฐานในคู่มือสถาปนิก เพื่อเป็นแนวทางในการคำนวณค่าแบบเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้

ประเภทที่ 1 : ตกแต่ง ภายใน ครุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์
ประเภทที่ 2 : พิพิธภัณฑ์ วัด อนุสาวรีย์ อาคารอนุสรณ์ที่วิจิตรสวยงาม
ประเภทที่ 3 : บ้าน (ไม่รวมตกแต่งภายใน)
ประเภทที่ 4 : โรงพยาบาล รัฐสภา โรงแรม ธนาคาร คอนโดมิเนียม วิทยาลัย
ประเภทที่ 5 : สำนักงาน สรรพสินค้า หอพัก โรงเรียน โรงอุตสาหกรรม
ประเภทที่ 6 : โกดัง อาคารจอดรถ ห้องแถว ตลาด

โดยตารางจะแจ้งประเภทของอาคาร 1-6 และช่วงราคาของแต่ละประเภทอาคาร

ตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างที่1 ต้องการออกแบบบ้านมูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท ไม่รวมตกแต่งภายใน วิธีการคำนวณ
สมมติดูจากตารางในช่วงบ้านพักอาศัย ได้เปอร์เซนต์จากตารางมาจะมีวิธีคำนวณดังนี้
7.5% X 5,000,000
ค่าออกแบบ คือ 375,000 บาท

ตัวอย่างที่2 ต้องการออกแบบบ้านมูลค่า 20 ล้านบาท บาท ไม่รวมตกแต่งภายใน วิธีการคำนวณ
สมมติดูจากตารางในช่วงบ้านพักอาศัย ได้เปอร์เซนต์จากตารางมาจะมีวิธีคำนวณดังนี้

7.5% X 10,000,000 = 750,000
6% X 10,000,000 = 600,000
ค่าออกแบบ คือ 1,350,000 บาท

กรณีงานก่อสร้างต่อเติม

ได้แก่ การออกแบบงานก่อสร้างต่อเติมอาคารเดิมที่มีอยู่แล้ว และจำเป็นต้องแก้ไขระบบโครงสร้างหรือการใช้สอยของอาคารเดิมบางส่วน ให้คิดค่าแบบหรือค่าบริการวิชาชีพเท่ากับ 1.2 เท่าของมูลค่าตามวิธีคิดข้างต้น (คิดค่าแบบในอัตราปกติแล้วคูณด้วย 1.2)

กรณีงานก่อสร้างดัดแปลง

ได้แก่การดัดแปลงแก้ไขประโยชน์ใช้สอยภายในอาคารเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมระบบโครงสร้างหรือไม่ก็ตาม ให้คิดค่าแบบเท่ากับ 1.4 เท่าของมูลค่าตามวิธีคิดข้างต้น

กรณีงานก่อสร้างที่แบบซ้ำกัน

ได้แก่การก่อสร้างในบริเวณเดียวกันโดยไม่ต้องเขียนแบบใหม่ อาจเป็นบ้านจัดสรร กลุ่มอาคารโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มอาคารคอนโดมิเนียม หรืออาคารที่ทำซ้ำๆ กันให้คิดค่าแบบดังนี้ครับ

1) หลังที่ 1 คิดค่าแบบ 100% ของค่าแบบตามวิธีคิดข้างต้น

2) หลังที่ 2 คิดค่าแบบ 50% ของค่าแบบตามวิธีคิดข้างต้น

3) หลังที่ 3 ถึงหลังที่ 5 คิดค่าแบบ 25% ของค่าแบบตามวิธีคิดข้างต้น

4) หลังที่ 6 ถึงหลังที่ 10 คิดค่าแบบ 20% ของค่าแบบตามวิธีคิดข้างต้น

5) หลังที่ 11 ขึ้นไป คิดค่าแบบ 15% ของค่าแบบตามวิธีคิดข้างต้น

แต่ราคาเหล่านี้เป็นเพียงแนวทาง หรือข้อแนะนำจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้รวบรวมขึ้นไว้เป็นมาตรฐานเท่านั้น แต่ไม่ใช่ข้อกำหนดที่มีผลทางกฎหมาย ในความเป็นจริงแต่ละบริษัทที่ออกแบบสามารถกำหนดราคาได้ตามมาตรฐานของแต่ละที่ ซึ่งมีทั้งสูงกว่า และต่ำกว่ามาตรฐานนี้

3. การคิดราคาแบบเหมา

การคิดราคาแบบเหมาจะขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละบริษัทออกแบบ หรือตามโปรโมชั่นในช่วงเวลานั้นๆ โดยปกติหากพื้นที่ออกแบบน้อยกว่าที่กำหนดบริษัทที่อาจจะคิดเป็นราคาขั้นต่ำหรือราคาเหมาก็เป็นได้ นอกจากนั้นหลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า ฟรีค่าแบบ ซึ่งส่วนมากจะเป็นบริษัทที่รับสร้างด้วย ซึ่งในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายตรงนี้รวมอยู่ในค่าบริหารจัดการแล้ว

 

การคิดค่าบริการและค่าจ้างอินทีเรีย

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่างานอินทีเรียถือเป็นศิลปะแขนงนึง ไม่ได้มีการกำหนดคามาตรฐานได้เหมือนกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ยากต่อการเปรียบเทียบราคาเนื่องจากความแตกต่างขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่ ฝีมือทักษะควาทสามารถ ชื่อเสียง สไตล์การออกแบบ วัสดุที่เลือกใช้ในการตกแต่ง ความมากน้อยของปริมาณงานตกแต่ง ขนาดของโครงการ ระยะทางการเดินทาง เป็นต้น

ดังนั้นการประเมินราคาค่าออกแบบ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ สามารถแบ่งตามโครงสร้างของงานบริการและงานผลิต ได้เป็น 5 ส่วนหลัก ดังนี้

1. ค่าประเมินสำรวจหน้างานจริง

หลังจากที่เจ้าของโครงการตัดสินใจเลือกผู้รับเหมาเบื้องต้นแล้ว โดยปกติจะต้องมีการเข้าวัดพื้นที่สำรวจหน้างานอย่างละเอียด วัดระยะที่ชัดเจน ตรวจสอบระบบต่างๆภายในอาคารหรือที่พักอาศัย

ซึ่งตรงนี้จะมีทีมงานสำรวจหน้างานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าเสียเวลา และค่าเขียนแบบแปลนหลังจากที่ทำการสำรวจ ราคาจะเริ่มต้นที่ x,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางการเดินทางและพื้นที่หน้างาน จะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่เกิดขึ้น

2. ค่าออกแบบ

ค่าออกแบบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ประเมินได้หลายวิธี เช่น

ประเมินตามพื้นที่หน้างานมักจะคิดเป็นราคาต่อตารางเมตร ส่วนมากมัณฑนากรหรือบริษัทออกแบบจะอ้างอิงราคาตามมาตรฐานประกอบกับสไตล์การออกแบบซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่แล้วราคาค่าออกแบบจะอยู่ที่ประมาณ 900-2,000 บาทต่อตารางเมตร

หรือการประเมินราคาจากชั่วโมงการทำงาน (Hourly Fee) การคิดค่าบริการในลักษณะนี้เหมาะกับงานที่มีรูปแบบเฉพาะ เช่น งานที่ปรึกษาพิเศษสำหรับโครงการที่ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนการออกแบบทั่วไป ในขั้นตอนนี้ลูกค้าจะได้รับงานออกแบบอย่างสมบูรณ์เห็นมิติอย่างละเอียดของงานออกแบบพร้อมกับรายละเอียดของวัสดุ ซึ่งลูกค้าจะได้รับแบบแปลนระบุระยะทางอย่างละเอียด

3. ค่าตรวจแบบ(Design Inspection)

จะประเมินจากงบประมาณก่อสร้างของโครงการ อยู่ในอัตราเฉลี่ยที่ 3 – 5% ของงบก่อสร้าง

4. ค่ารับเหมาก่อสร้างหน้างาน

ค่าใช้จ่ายตรงนี้บริษัทผู้รับเหมาจะต้องชี้แจงรายละเอียดตามวัสดุและเนื้องานจริงอย่างละเอียด ซึ่งทางเจ้าของโครงการจะได้รับ BOQ (Bill of Quantities) แปลเป็นไทย คือ ใบแสดงรายการค่าวัสดุและค่าแรงงาน จะแสดงรายละเอียดหมวดหมู่แต่ละงาน เช่น งานพื้น งานผนัง งานฝ้า งานตกแต่ง งานทำความสะอาด เป็นต้น

ทางผู้รับเหมาจะต้องมีการระบุว่า ใช้วัสดุอะไร พื้นที่เท่าไหร่ ปริมาณเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ และคิดค่าดำเนินการเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ การทำ BOQ จะช่วยให้สะดวกต่อการพิจารณาราคาว่าสมเหตุสมผลสามาถรับได้หรือไม่และยังควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย

5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องอาทิ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก (ถ้ามี) ส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางไกล

 

การแบ่งจ่ายงวดงาน ออกแบบตกแต่งภายใน

หากผู้ว่าจ้างตัดสินใจเลือกผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้วขั้นตอนสำคัญนั่นคือการเซ็นต์สัญญาว่าจ้างอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ตรงนี้จะเรียว่า “เอกสารสัญญาก่อสร้าง” ในเอกสารสัญญาก่อสร้างเพื่อเริ่มงานก่อสร้าง ของ บริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน มักมีรายละเอียดการชำระเงินโดยมากมักแบ่งเป็น 4-5 งวดดังนี้

○ งวดที่ 1 : 40 %
เมื่อ วันที่เซ็นสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นการตกลงว่าจ้าง และจะเริ่มงานก่อสร้างทันทีตามรายละเอียดข้อความเนื้อหาที่ระบุในสัญญา

○ งวดที่ 2 : 30 %
เมื่อ ปริมาณงานมีความคืบหน้าประมาณ 50% -60% ตรงนี้จะเริ่มเห็นงานอย่างเป็นรูปเป็นร่างจนถึงขั้นเริ่มประกอบติดตั้งงานเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินในหลายๆส่วนแล้ว

○ งวดที่ 3 : 20 %
เมื่อ หลังจากประกอบและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ครบทั้งหมด

○ งวดที่ 4 : 5 %
เมื่อ หลังจากเก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาด

○ งวดที่ 5 : 5 %
ส่งมอบงานและมีการตรวจรับงานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

อัตราการคิดค่าบริการ ปกติแล้วงานอินทีเรียไม่มีมาตรฐานการคิดราคาที่ชัดเจน ต้องมีการพิจารณาควบคู่หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของเฟอร์นิเจอร์ วัสดุที่ใช้ รวมถึงสไตล์การออกแบบตกแต่ง ลวดลายความวิจิตรบรรจงของตัวงาน เป็นต้น

 

ไอเดียแต่งบ้านให้สวยสบายน่าอยู่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

เพราะความสุขแบบส่วนตัว คือช่วงเวลาแสนพิเศษที่ทำให้ชีวิตออกแบบได้ตามใจต้องการ มาเปลี่ยนชีวิตให้สมบูรณ์แบบด้วย 6 ไอเดีย แต่งบ้านให้สวยอยู่สบายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ที่จะช่วยเนรมิตช่วงเวลาของการใช้ชีวิตภายในบ้านให้เป็นสุขทุกเวลา

1. เลือกสไตล์การแต่งบ้านที่ใช่

เมื่อความชื่นชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน ตัวกำหนดสไตล์การแต่งบ้านที่สะท้อนตัวตนเป็นอย่างดี ถ้าหากคุณนิยมความเรียบง่าย สบายๆ ทันสมัย และมีแผนปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยในอนาคต สไตล์การแต่งบ้านแบบ Modern Style จึงลงตัวกับชีวิตทันสมัยในแบบคุณ

หรือหากคุณเป็นคนที่รักอิสระ รักงานโชว์ผิวเนื้อแท้ของวัสดุ ชื่นชอบบรรยากาศความเป็นส่วนตัวแบบเรียบขรึม การแต่งบ้าน Loft Style นับว่าเป็นสไตล์ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด แต่ไม่ว่าจะตกแต่งบ้านสไตล์ไหน ก็ควรเลือกให้เหมาะสมและตอบโจทย์ต่อการใช้งานของทุกคนในครอบครัว เพื่อให้บ้านกลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขอย่างแท้จริง

2. โทนสีสร้างบรรยากาศบ้านอยู่สบาย

โทนสีช่วยสร้างความแปลกใหม่ให้บ้านได้เสมอ อย่างการแต่งบ้านด้วยสีเอิร์ธโทน เช่น สีเบจ สีน้ำตาล สีส้มอิฐ และสีเทา จะช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้อยู่สบาย และหากนำมาผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุไม้ธรรมชาติ ก็จะเติมเต็มความมีชีวิตชีวา เพิ่มพลังในการใช้ชีวิต และมอบความผ่อนคลายที่แสนสบายในทุกย่างก้าว

3. เติมฟังก์ชันใช้งานในบ้านที่ตรงใจ

บ้านอยู่สบาย คือบ้านที่ใช้สอยมุมไหนก็ลงตัว ทุกพื้นที่ในบ้านจึงควรออกแบบให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว โดยอาจเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชันที่มีหลากหลายฟังก์ชันมารวมไว้ในชิ้นเดียว ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามใจ

เช่น เตียงนอนที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นชุดโซฟานั่งเล่น หรือนั่งทำงานได้ในเวลาเดียวกัน และพร้อมรองรับกิจกรรมอื่นๆ โดยใช้พื้นที่ภายในบ้านให้เกิดประโยชน์มากกว่าเดิม

4. จัดสวนธรรมชาติเพิ่มชีวิตชีวา

บรรยากาศภายในบ้านส่งผลต่อจิตใจและการอยู่อาศัยที่เป็นสุข การจัดสวนสีเขียวเพื่อเติมเต็มธรรมชาติให้กับบ้านจึงมีส่วนช่วยบำบัดกายและใจให้ผ่อนคลาย อย่างการจัดสวนเฟิร์น พร้อมปลูกไม้คลุมดินเพื่อสร้างความชุ่มชื้น และอาจเสริมด้วยธารน้ำเล็กๆ หรือน้ำพุ ที่ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาและความสงบร่มเย็นให้กับจิตใจได้เป็นอย่างดี

5. สร้างบรรยากาศสดชื่นด้วยเครื่องหอม

กลิ่นหอมคือสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศดีๆ ให้กับภายในบ้าน รวมถึงช่วยลดความเหนื่อยล้า ความเครียดสะสม หรือการนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี การรังสรรค์บรรยากาศให้กับบ้านด้วยเครื่องหอมประเภท เทียนหอม น้ำมันหอมระเหย หรือสเปรย์หอม ก็จะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายและจิตใจให้รู้สึกเป็นสุข

โดยเริ่มจากพื้นที่โปรดภายในบ้าน เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น เพียงเท่านี้ก็พร้อมสร้างทุกวันผ่อนคลายให้กลายเป็นช่วงเวลาแสนประทับใจ

6. ติดตั้งนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อความสะดวกสบายของชีวิต

เพราะเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันแบบขาดไม่ได้ การนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาอำนวยความสะดวกสบายให้กับบ้าน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้ามีหลากหลายประเภท หลากหลายรุ่นให้เลือกใช้งานอย่างลงตัวตามไลฟ์สไตล์ มีคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตภายในบ้านให้เป็นสุขเหมือนมีผู้ช่วยที่รู้ใจ

 

สรุป

ออกแบบตกแต่งภายในถือเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นมัณฑนกรจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และควบคุมให้งานตกแต่งภายในตอบสนองความต้องการของผู้ว่าจ้าง ทั้งนี้ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ว่าจ้างกับมัณฑนากรเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้งานตกแต่งภายในออกมาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

สำหรับช่วงราคาค่ารับเหมาตกแต่งภายใน อย่างที่ได้กล่าวไปว่าการตกแต่งภายในมีปัจัยหลายอย่างที่มีผลต่อราคา ทั้งในแง่ของสไตล์การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่งตามแนวทางการออกแบบ เช่น หินอ่อน พื้นบัว การกรุผนัง กระจกแต่ง คิ้วสแตนเลส ตู้ไม้ ตู้กระจก

ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุราคาอย่างแม่นยำในเบื้องต้นได้ จนกว่าจะสรุปงานออกแบบและ BOQ แต่เราพอสามารถแจ้งช่วงของการประเมิณราคาให้ลูกค้าเบื้องต้นได้ ประมาณนึงโดยพิจารณาจากการวัดพื้นที่หน้างานจริงประกอบกับแบบแปลนและสไตล์เบื้องต้นที่ลูกค้าอยากได้

กลุ่มบ้านพักอาศัย จะเป็นการคิดราคาตามพื้นที่จริงของการออกแบบ ช่วงราคาของการออกแบบมักจะแบ่งตามขนาดของพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่ขนาดใหญ่บางส่วนมักเป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้าง เมื่อเทียบราคาต่อตารางมักจะมีโอกาศที่ราคาต่อพื้นที่จะถูกกว่าพื้นที่การออกแบบที่มีขนาดเล็ก

กลุ่มธุรกิจหรือร้านค้า การออกแบบงานประเภทนี้จะมีรายละเอียดความยากของตัวเนื้องานที่ซับซ้อนมากกว่า ทั้งการจัดพื้นที่ใช้สอย การวางระบบ การออกแบบพิจารณาเส้นทางสัญจร เป็นต้น จึงทำให้งานออกแบบกลุ่มนี้จะมีราคาสูงกว่างานออกแบบบ้านพักอาศัยทั่วไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!