รีโนเวทบ้านไม้ ทาวน์เฮ้าส์ ชั้นเดียว 2ชั้น

รีโนเวทบ้านไม้ ทาวน์เฮ้าส์

หากคุณมีบ้านไม้เก่าปลวกกิน บ้านน้ำท่วมอยากยกใต้ถุนสูง เรามีข้อต้องรู้ในบทความนี้ รีโนเวทบ้านไม้ บ้านปูน ทาวน์เฮ้าส์ ชั้นเดียว 2ชั้น ห้องนอนและห้องต่างๆ การต่อเติมรีโนเวทด้วยตัวเอง ราคาประหยัด งบไม่กี่แสน ก็ทำได้

รีโนเวทบ้าน เรื่องใหญ่ในชีวิตที่วางแผนผิดชีวิตเปลี่ยนได้เลย เพราะแม้ว่าบ้านจะเป็นวิมานของใครหลายคน แต่บ้านที่ทรุดโทรม ไม่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมให้เรียบร้อยสวยงามนั้นย่อมเป็นบ้านที่ไม่น่าอยู่อาศัย

ไม่ว่าจะในมุมมองของความสวยงาม ความสะดวกสบาย หรือความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินก็ตาม สำหรับคนที่มีบ้านอยู่แล้วการรีโนเวทบ้านจึงเป็นทางออกของทุกปัญหาที่ว่ามา แต่ไม่ว่าจะเป็นการ รีโนเวทบ้านไม้ ที่ผ่านกาลเวลามานาน

การ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว ให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานมากขึ้น หรือแม้แต่การ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยก็ล้วนแต่ต้องวางแผนให้รอบคอบ เพราะถ้าผิดพลาดไปนิดเดียวก็อาจกระทบกับงานส่วนอื่น ๆ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

แต่ใครไม่เคยมีประสบการณ์ รีโนเวทบ้าน มาก่อนอาจไม่รู้ว่าต้องวางแผนยังไง UREBUILD(ยูรีบิ้ว) เลยมีคำตอบมาให้

 

รีโนเวท บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว กับ UREBUILD

  • ออกแบบ NewDesign จากไลฟ์สไตล์ของคุณ สร้างบ้าน รีโนเวทบ้าน ตกแต่งภายใน บริการครบวงจร ดูแลหลังสร้างเสร็จ
  • ควบคุมงานโดยสถาปนิก-วิศวกรมืออาชีพ ออกแบบตามความต้องการของลูกค้า
  • ทีมงานคุณภาพมากประสบการณ์ รับออกแบบ-สร้างบ้าน ดีไซน์เฉพาะคุณ
  • พร้อมดีไซเนอร์ส่วนตัวให้คำปรึกษาตัวต่อตัว เหมาะกับทุกสไตล์ ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น

บริการของ UREBUILD >> รับรีโนเวท หาช่างรีโนเวท

 

สารบัญ

 

ขั้นตอนการวางแผน รีโนเวทบ้าน

อย่างที่บอกไปแล้วว่าการรีโนเวทบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นอะไรที่ต้องใช้ความรอบคอบมาก ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์รีโนเวทด้วยตัวเองมาก่อน เพราะไม่ว่าจะเป็นการ รีโนเวทบ้านไม้ การ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว การ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น หรือการรีโนเวทบ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์ หรือที่พักอาศัยแบบไหนก็ตาม

หากไม่ได้ผ่านการวางแผนที่ดีก็มักจะมีปัญหางบประมาณบานปลายจากงานงอกในส่วนที่ไม่คิดมาก่อนว่าต้องทำตรงนี้ด้วย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคุมงบไม่อยู่นั่นเอง และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่าก่อนจะรีโนเวทบ้านสักหลังควรทำอะไรบ้าง

1. ประเมินงบประมาณก่อนเป็นขั้นตอนแรก

ขึ้นชื่อว่าการรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวทบ้านทั้งหลัง หรือรีโนเวทแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่าง รีโนเวทห้องน้ำ รีโนเวทห้องครัว ก็ย่อมต้องใช้งบประมาณเป็นเงินก้อนไม่มากก็น้อย ดังนั้น ก่อนจะคิดข้ามขั้นไปไกลว่าอยากให้บ้านกลายเป็นแบบไหน

ขั้นตอนแรกให้ลองถามตัวเองก่อนว่าหากจะรีโนเวทบ้านตอนนี้จะเป็นไปได้ไหม จะทำให้สถานการณ์การเงินภายในบ้านตึงมือเกินไปหรือเปล่า เรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ งบรีโนเวทก็ส่วนหนึ่ง แต่งบสำรองเผื่อฉุกเฉินก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องมีไว้เช่นกัน

2. ตั้งเป้าหมายการ รีโนเวทบ้าน ให้ชัดเจน

หลังประเมินตัวเองแล้วว่าถ้าแบ่งงบมารีโนเวทบ้านแล้วจะไม่เดือดร้อน ขั้นตอนต่อมาก็คือการตั้งเป้าหมายในการรีโนเวทบ้านให้ชัดเจนว่าอยากจะทำอะไรตรงส่วนไหนบ้าง เพื่อที่เวลาลงมือทำขึ้นมาจริง ๆ จะได้ไม่วอกแวกหรือลังเล เช่น ถ้าจะ รีโนเวทบ้านไม้ ที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา อยากให้ซ่อมแซมแค่เฉพาะส่วนที่เสียหายหรืออยากจะทุบรื้อแล้วทำใหม่เป็นบ้านปูนทั้งหมดไปเลย

หากจะ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว ให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นจำเป็นต้องต่อเติมไหม หรือแค่ปรับฟังก์ชั่นภายในบ้านใหม่ก็เพียงพอแล้ว ส่วนใครที่อยากจะ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น ให้ชั้นล่างเป็นสำนักงานหรือร้านค้าต้องเคลียร์พื้นที่ส่วนหน้าบ้านให้โล่งกว้างขึ้นไหม ต้องทุบรื้อตรงไหนหรือต้องทำพื้นที่จอดรถเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เป็นต้น

ปัจจัยทั้งหมดที่ว่ามานี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของการรีโนเวททั้งหมด ถ้าตั้งเป้าหมายส่วนนี้ไว้ไม่ชัดเจนย่อมมีผลต่อขั้นตอนต่อ ๆ ไป และมีผลต่อเรื่องงบประมาณด้วย

3. รวบรวมข้อมูลและหารูปแบบบ้านที่ชอบ

ชอบบ้านแบบไหน อยากให้บ้านออกมาเป็นแบบไหน ขั้นตอนนี้ให้รวบรวมรายละเอียดและข้อมูลมาให้เต็มที่ อยาก รีโนเวทบ้านไม้ ก็หาแบบบ้านไม้สวย ๆ อยาก รีโนเวทบ้านชั้นเดียว หรือ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น ก็หารูปแบบที่ชอบ ฟังก์ชั่นที่ใช่เอาไว้เป็นแนวทางในการรีโนเวทก่อน

หรือหากใครตั้งใจติดต่อนักออกแบบหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำงานนี้อยู่แล้วก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรึกษาหารือกันก่อนก็ได้ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

4. ลองหาแหล่งวัสดุด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะตั้งใจคุมงานรีโนเวทบ้านด้วยตัวเอง หรือตั้งใจจะว่าจ้างสถาปนิก ผู้รับเหมา หรือช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแล สิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งที่เราควรหาข้อมูลติดตัวไว้บ้างคือแบบบ้านที่ต้องการรีโนเวทนั้นเป็นรูปแบบไหน ส่วนใหญ่ใช้วัสดุอะไร ราคาในท้องตลาดอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่

เช่น หากจะ รีโนเวทบ้านไม้ จากไม้เก่าที่มีปัญหาปลวกมาเป็นไม้เทียม ก็ควรหาข้อมูลไว้บ้างว่าไม้เทียมมีกี่ประเภท ควรจะเลือกใช้ไม้เทียมแบบไหน แบบที่ใช้ภายในและภายนอกบ้านนั้นต่างกันหรือไม่ มีแบรนด์ไหนที่น่าสนใจบ้างและจะหาซื้อได้จากที่ไหน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้วัสดุที่ต้องการในราคาสมเหตุสมผลภายในงบประมาณที่เรากำหนดไว้นั่นเอง

5. สำรวจพื้นที่ก่อนลงมือรีโนเวท

เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนและรูปแบบบ้านในใจที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือต้องสำรวจบ้านอย่างละเอียด โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ต้องการปรับปรุงว่ามีส่วนไหนที่ยังใช้ได้ มีส่วนไหนที่ต้องซ่อมแซมหรือทำใหม่บ้าง

ยิ่งหากเป็นการ รีโนเวทบ้านไม้ ที่เคยเจอปัญหาปลวกมาก่อนก็อาจต้องมาพิจารณาความแข็งแรงของไม้ว่าผุพังจากปลวกไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว หรือหากต้อง รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น ไม่ว่าจะแค่ชั้นบนหรือชั้นล่างก็ต้องพิจารณาความแข็งแรงของทั้ง 2 ชั้นเช่นกัน

ส่วนการ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว ที่ต้องการต่อเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านก็อาจต้องพิจารณาไปถึงสภาพดินบริเวณนั้นด้วยว่าจำเป็นต้องลงเข็มไว้เป็นฐานรากป้องกันการทรุดตัวหรือไม่ ต้องใช้เสาเข็มแบบไหน หรือแค่ใช้แบบฐานแผ่ก็เพียงพอแล้ว

เพื่อความชัดเจนและครบถ้วนในขั้นตอนนี้ แนะนำให้ลองทำเป็นรายการแบบ Check List ในแต่ละส่วนของบ้านไปเลย หรืออาจแบ่งเป็นประเภทของงานไปด้วยก็ได้ เช่น Check List งานโครงสร้างหลังคา งานฝ้า งานพื้น งานผนัง งานระบบไฟฟ้า งานระบบประปา งานระบบสุขาภิบาล งานระบบปรับอากาศของแต่ละห้องแต่ละโซน เป็นต้น

และเมื่อตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดอย่างละเอียดแล้วก็แนะนำให้ลองกำหนดแนวทางปรับปรุงแก้ไขของแต่ละปัญหาในเบื้องต้นเอาไว้เลย แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีความชำนาญในเรื่องการปรับปรุงบ้านมากนักก็อาจขอคำปรึกษาจากสถาปนิก วิศวกร หรือช่างผู้เชี่ยวชาญก็ได้เหมือนกัน

6. กำหนดขอบเขตของงานรีโนเวท

หลังจากสำรวจพื้นที่ที่ต้องการรีโนเวทมาอย่างละเอียดและครบถ้วนแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องมานั่งสรุปงานปรับปรุงกันต่อ โดยรวบรวมข้อมูลจากการทำ Check List ที่ผ่านมา รวมถึงข้อมูลรูปแบบบ้านที่ชอบมารวมไว้ในที่เดียวกันเพื่อไม่ให้พลาดรายละเอียดสำคัญอะไรไป การกำหนดขอบเขตของงานรีโนเวทนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้ขั้นตอนอื่น ๆ

เพราะเป็นขั้นตอนที่จะกำหนดรายละเอียดการทำงานแทบทุกอย่างอย่างครอบคลุม ทั้งขอบเขตพื้นที่ที่ต้องการปรับปรุง วิธีการจัดการพื้นที่ส่วนต่าง ๆ วัสดุที่ต้องการใช้งาน ไปจนถึงเรื่องของงบประมาณที่กำหนดไว้

หากเป็นการทำงานร่วมกันกับสถาปนิกหรือผู้เชี่ยวชาญก็จำเป็นต้องแจ้งความต้องการทั้งหมดให้ละเอียดและครบถ้วนให้มากที่สุด เพื่อกำหนดทิศทางความเป็นไปได้ในการรีโนเวทให้ออกมาตรงตามความต้องการให้มากที่สุดแบบงบประมาณไม่บานปลายภายหลังนั่นเอง

7. จัดเตรียมงบประมาณล่วงหน้า

เมื่อได้ขอบเขตการทำงานทั้งหมดมาแล้ว การจัดเตรียมงบประมาณก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแต่ต้องลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ว่าต้องจ่ายอะไรบ้าง หรือลำดับการจ่ายก่อนจ่ายหลังอย่างไร ซึ่งสำหรับการรีโนเวทบ้านโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ

ส่วนแรกคือค่าออกแบบโดยสถาปนิก มัณฑณากร วิศวกรโครงสร้าง และวิศวกรงานระบบต่าง ๆ หากเป็นงานรีโนเวทเล็ก ๆ ที่เจ้าของบ้านควบคุมงานเองได้ก็อาจไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ค่าใช้จ่ายส่วนถัดมาคือค่าใช้จ่ายในการปรับปรุง ทั้งค่าแรงช่าง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดำเนินการต่าง ๆ ในระหว่างการรีโนเวท

และค่าใช้จ่ายส่วนสุดท้ายที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย นั่นคือค่าดำเนินการขออนุญาตในการก่อสร้างต่าง ๆ กับหน่วยงานราชการในกรณีที่ต้องยื่นขออนุญาต หรือค่าบริการที่ปรึกษาก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังต้องมีงบประมาณสำรองไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน และควรตั้งงบประมาณให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้งบบานปลายด้วย

8. เลือกผู้ออกแบบหรือผู้เชี่ยวชาญ

ก่อนจะถึงขั้นตอนลงมือรีโนเวทบ้าน อีกหนึ่งสิ่งที่เจ้าของบ้านต้องตัดสินใจเลือกคือ ต้องการจ้างสถาปนิกกับผู้รับเหมาแบบแยกส่วนกันหรือไม่ การเลือกจ้างสถาปนิกแยกกันกับการจ้างผู้รับเหมาจะทำให้ขั้นตอนการรีโนเวทเป็นไปอย่างเป็นระบบ

สามารถตรวจสอบและปรับปรุงแบบบ้านให้ตรงกับความต้องการได้ผ่านทางการพูดคุยกับสถาปนิกผู้ออกแบบ โดยสถาปนิกจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องแนวทางในการรีโนเวท ดูแลเรื่องการออกแบบให้ออกมาตรงกับความต้องการของเจ้าของบ้านมากที่สุด

รวมทั้งรับหน้าที่ตรวจงานผู้รับเหมาในขณะรีโนเวทบ้านร่วมกันกับเจ้าของบ้านด้วย ในขณะที่การจ้างสถาปนิกและผู้รับเหมารายเดียวกันก็ค่อนข้างสะดวกกับเจ้าของบ้าน เพราะจะมีผู้ประสานงานเพียงคนเดียวตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบบ้านไปจนการรีโนเวทบ้านเสร็จสมบูรณ์

9. วางแผนการทำงานและติดตามงาน

ก่อนการลงมือรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว หรือ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น และไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ก็ควรให้สถาปนิกผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมาวางแผนและแจกแจงรายละเอียดการทำงานให้ชัดเจนเสียก่อน

ทั้งการลำดับงานปรับปรุงซ่อมแซมในส่วนที่กำหนด หรืองานส่วนที่ต้องทำเพิ่มเติมเพื่อให้บ้านออกมาดูดีขึ้น และเมื่อถึงขั้นตอนการลงมือรีโนเวทก็ควรติดตามผลงาน หรือหมั่นเข้าไปดูความคืบหน้าหน้างานอย่างสม่ำเสมอ เพราะมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไขหรือมีเรื่องให้ตัดสินใจได้ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ก็ควรอยู่ในกรอบของงบประมาณที่ตั้งไว้แต่แรกด้วย

ก่อน รีโนเวทบ้านไม้ ทาวน์เฮ้าส์ ต้องรู้อะไรบ้าง?

โดยใน การรีโนเวทบ้านไม้ ทาวน์เฮ้าส์ มีหลายจุดที่ต้องตรวจเช็ก โดยเฉพาะ 5 จุดสำคัญเหล่านี้ เพื่อให้บ้านไม้สวยงาม ดูใหม่อยู่เสมอ และอยู่กับเราไปได้นาน ๆ ดังนี้

ประตู หน้าต่าง

การรีโนเวทบ้านไม้ ควรให้ความสำคัญบริเวณ ประตู หน้าต่าง เพราะจุดดังกล่าว มีการใช้งานบ่อย มีการเปิด-ปิด อาจเกิดความเสียหาย หรือชำรุดได้ง่ายที่สุด ยิ่งถ้าหากโดนฝนบ่อบ ๆ จะเกิดการเปียกชื้น ก่อนรีโนเวทบ้านไม้ จึงเป็นจุดแรกที่ควรตรวจเช็ค

วิธีแก้ไข : หากพบว่าไม้บวมชื้น เกิดความเสียหาย ทำให้เปิด-ปิดประตู หน้าต่างได้ยาก ให้ไสบริเวณที่บวมออกไป และทาสีน้ำมันทาไม้ทับอีกชั้น ถ้ามีความเสียหายมาก ให้เอาออก และเปลี่ยนแผ่นใหม่เข้าไปแทน

พื้น-ผนังบ้าน

แม้ว่าบริเวณพื้นบ้าน ผนังบ้าน จะไม่ค่อยได้ถูกแสงแดด ลม หรือฝน แต่ก็เกิดความเสียหายได้เช่นกัน เช่น รอยขีดข่วนต่าง ๆ จากการลากเฟอร์นิเจอร์ การที่มีกรวด หรือทรายบนพื้นไม้ และการขีดข่วนจากสัตว์เลี้ยง อาจทำให้พื้นบ้าน หรือแม้แต่ผนังบ้านเกิดรอยได้ แม้จะหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งถ้าใครที่หลงรักงานไม้ อาจจะทำใจในข้อนี้ไม่ได้จริง ๆ

วิธีแก้ไข : การรีโนเวทบ้านไม้ ในจุดนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากตรวจเช็คความลึก และขนาดของรอยขีดข่วนก่อน หากรอยไม่ลึกมาก สามารถซ่อมได้ด้วยสีย้อมไม้ รอยลึกปานกลาง ใช้แท่งขี้ผึ้งสี ที่ใกล้เคียงกับพื้นไม้ของเรา รอยลึกมาก ซ่อมด้วยสีโป๊วไม้ และปาดให้เรียบไปกับผิวหน้าพื้นไม้ หรือขัดพื้น เคลือบผิวใหม่ ในกรณีที่มีรอยข่วนจำนวนมาก

ระเบียงบ้าน

โดยส่วนใหญ่แล้ว ระเบียงบ้าน หรือชานบ้าน เป็นจุดที่เกิดความเสียหายได้บ่อย เพราะเป็นจุดที่ต้องโดนทั้งแดด ลม ฝน มากกว่าจุดอื่น ๆ อาจทำให้ไม้เกิดความเสียหาย เนื้อไม้ซีด หรือผุพังได้ เป็นอีกจุดที่ก่อนรีโนเวทบ้านไม้ ต้องตรวจเช็กให้ดี

วิธีแก้ไข : ทาสีน้ำมัน หรือสีพลาสติก เพื่อเป็นการดูแลเนื้อไม้ และยังทำให้เนื้อไม้มีสีที่เด่นชัด สวยงาม

เนื้อไม้

การรีโนเวทบ้านไม้ ควรดูแลรักษาเนื้อไม้ ให้มีความแข็งแรง ทนทาน เพื่อให้มีอายุการใข้งานที่ยาวนาน โดยควรตรวจเช็กเนื้อไม้ทุก ๆ 4 เดือน เพราะหากมีปลวกมาทำลายเนื้อไม้ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที

วิธีแก้ไข : ใช้น้ำยาเคลือบเนื้อไม้ เพื่อให้อายุไม้ยาวนาน แถมยังลดปัญหาเนื้อไม้เสียหายมากขึ้น

เฟอร์นิเจอร์ไม้

ด้วยความที่เป็นบ้านไม้ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ จึงเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพื่อให้ดูเข้ากัน และถึงแม้เฟอร์นิเจอร์ไม้เหล่านี้ จะอยู่ในบ้านไม่ได้ออกมาโดนแดด โดนฝน อาจจะชำรุดเสียหายได้ จากการโดนน้ำเวลาทำความสะอาดบ้าน ไม้เกิดความชื้น จากการที่น้ำซึมเข้าเนื้อไม้ รีโนเวทบ้านไม้ทั้งที จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่นำมาตกแต่งบ้านด้วย

วิธีแก้ไข : ควรเลือกใช้ น้ำยาเคลือบผิวไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าเนื้อไม้ หรือถ้าเฟอร์นิเจอร์ไม้ชิ้นไหน เกิดความเสียหายผุพังมาก อาจจะถือโอกาสนี้เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ จะได้เข้ากับบ้านไม้ ที่รีโนเวทจนสวยเหมือนใหม่

 

ข้อดี-ข้อเสีย ของการรีโนเวทบ้านไม้

ไม้ เป็นวัสดุหลัก ที่นิยมนำมาใช้สร้างบ้านในอดีต เพราะสามารถหาได้ง่ายตามธรรมชาติ แต่นอกเหนือจากไม้แล้ว ในปัจจุบันมีการใช้วัสดุอื่น ๆ มาในการสร้างบ้าน นอกจากบ้านไม้ ยังมีบ้านดิน บ้านอิฐ และบ้านปูน ซึ่งเรียกตามวัสดุหลักที่นำมาใช้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บ้านไม้ลดความนิยมลง ด้วยข้อดีต่าง ๆ ดังนี้

ข้อดีของ บ้านไม้

1. สวยงาม

บ้านไม้มีความสวยงาม คลาสสิก ร่วมสมัย ไม่ตกยุค ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงมีการสร้างบ้านไม้ให้เห็นกันอยู่มาก

2. แข็งแรง ทนทาน

ด้วยความที่ไม้มีความยืดหยุ่น ดังนั้น เวลาที่เกิดภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว บ้านไม้จึงมีความแข็งแนง ทนทาน เกิดรอยร้าวได้ยากกว่า เมื่อเทียบกับบ้านที่สร้างด้วยวัสดุอื่น ๆ

3. ถ่ายเทอากาศได้ดี

บ้านไม้ จะอากาศถ่ายเทได้สะดวก เนื่องจากบ้านไม้ จะมีช่องว่างตามรอยต่อของไม้ ผนังไม่ได้ทึบจนไม่มีช่องว่างให้อากาศถ่ายเท ทำให้ผู้อยู่อาศัย ไม่รู้สึกอบอ้าวเวลาอยู่ภายในบ้าน ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา

4. ปรับแต่ง ต่อเติมได้

ด้วยความที่ไม้ เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง หากต้องการปรับแต่ง ต่อเติม หรือรีโนเวทบ้านไม้ ก็สามารถทำได้ง่าย อีกทั้งยังผสมผสานเข้ากับวัสดุอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว ที่พบเห็นบ่อย ๆ คือ การนำไม้มาผสมกับปูน หรือโครงสร้างเหล็ก

5. รื้อถอน เคลื่อนย้ายสะดวก

ถ้าหากต้องการจะโยกย้าย สามารถรื้อถอนบ้านไม้ และเคลื่อนย้าย ไปสร้างบ้านใหม่ บนที่ดินของตัวเองได้ ถือเป็นการรีโนเวทบ้านไม้ ปรับปรุงตกแต่งใหม่ให้สวยงามไปในตัว

ข้อเสียของ บ้านไม้

1. ปลวก มด แมลงกัดแทะ

บ้านไม้เสี่ยงต่อการถูกปลวก มด แมลง มากัดเนื้อไม้ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแล และบำรุงรักษาไม้เป็นพิเศษ เช่น ทาสีกันแมลง เพื่อป้องกันการผุกร่อนของเนื้อไม้

2. บ้านรั่วซึม

วัสดุไม้มีข้อดีในเรื่องของความยืดหยุ่น แต่ก็มักจะยืด หรือหดตามสภาพอากาศ ในช่วงหน้าฝน จึงอาจเกิดปัญหาบ้านรั่วซึม ระหว่างช่องไม้ได้ ควรตรวจเช็กก่อนรีโนเวทบ้าน ป้องกันได้ด้วย การทาน้ำยากันรั่วซึม

3. ไม้ชื้น เสื่อมสภาพเร็ว

ไม้ชื้นเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของบ้านไม้ โดยเฉพาะ บริเวณพื้นที่ระเบียง หรือบันได ที่เสี่ยงโดนฝนเป็นประจำ ต้องมีการทาสีน้ำมัน หรือสีพลาสติก เพื่อกันความชื้น ไม่ให้น้ำซึมลงเนื้อไม้ เสี่ยงไม้ผุพังได้ในอนาคต

4. มีเสียงดังเวลาเดิน

บ้านไม้ มักมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เวลาเดินในบ้าน เป็นผลจากการยืด และหดตัวของเนื้อไม้ ทำให้ได้ยินเสียงรบกวนทั้งจากนอกบ้าน และในบ้าน นอกจากนั้น ยังมีเสียงที่ลอดผ่านช่องรอยต่อของไม้ เพื่อลดเสียงรบกวน อาจจะต้องปูวัสดุตกแต่ง เช่น กระเบื้องยาง พื้นไม้ไวนิล พรมทับพื้นไม้เดิม เพื่อปิดร่องรอยต่อระหว่างพื้นไม้

5. ราคาสูง

ปัจจุบันไม้มีราคาสูง อาจทำให้เสียงบประมาณในการสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะไม้เนื้อดี เนื้อแข็ง ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน นิยมนำมาวางโครงสร้างบ้าน จะมีราคาสูง อีกทั้งการสร้างบ้านไม้ ต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญ ซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก

รีโนเวทเพื่อคนสูงวัย

การออกแบบบ้าน หรือการรีโนเวทพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุในปัจจุบันกำลังมาแรงตามกระแสของสังคมสูงวัยนอกเหนือจากเรื่องของดีไซน์ ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ รวมถึงความสะดวกสบายและใช้งานได้จริง ในส่วนของการวางแปลนบ้านตลอดจนวัสดุที่ใช้งานต้องเอื้อให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาลูกหลานตลอดเวลา

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงการปรับบ้านสำหรับผู้สูงอายุ ควรยึดหลัก 5 ข้อ ด้วยกัน ขอแนะนำแนวทางการปรับปรุงบ้าน ดังนี้

ความปลอดภัย

สำหรับโซนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ คือ “ห้องน้ำ” เนื่องจากว่าเป็นห้องที่ผู้สูงอายุมักต้องการความเป็นส่วนตัวที่สุด แต่สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุดโดยที่คนในบ้านอาจไม่รู้ ดังนั้นความกว้างของห้องน้ำควรจะมีขนาดอย่างน้อย 1.5-2 เมตร เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นวีลแชร์จะสามารถหมุนกลับตัวได้สะดวก

ประตูห้องน้ำควรเป็นแบบบานเลื่อน ลูกบิดประตูควรเป็นแบบก้านโยกจะสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องใช้แรงข้อมือมาก และไม่ควรมีระบบล็อกประตู รวมถึงการติดตั้งราวจับบริเวณที่อาบน้ำเพื่อใช้พยุงตัวด้วย อีกทั้งยังควรแบ่งพื้นที่โซนเปียกและแห้ง แบ่งโดยใช้ความลาดเอียงของพื้นแทนการทำพื้นต่างระดับ

สำหรับผนังห้องน้ำ ลองเลือกใช้วัสดุที่ทนความชื้นและแข็งแรง ที่สำคัญอย่าลืมติดตั้ง “สัญญาณฉุกเฉิน” เพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอก สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติและเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น

การเคลื่อนที่ เคลื่อนย้ายภายในบ้าน

เพื่อให้ผู้สูงอายุสะดวกสบายในการเดินเหินไปตามจุดต่างๆ พื้นทางเดินควรเป็นพื้นที่ลาดเอียง แทนการใช้ขั้นบันได ป้องกันการสะดุดล้ม โดยวัสดุที่ใช้ควรมีความแข็งแรงรองรับการเดินของผู้สูงอายุ หลีกเลี่ยงการใช้ไม้กระดานแผ่นเล็กที่จัดวางแบบมีช่องว่าง

แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้สูงอายุที่ยังต้องเดินขึ้นลง ควรติดตั้ง “ลิฟต์บันได” เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดเข่า หรือปรับบันไดให้มีความกว้างที่เหมาะสม โดยลูกตั้งบันไดไม่ควรสูงเกิน 15 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร จมูกบันไดมีสีแตกต่างจากพื้นผิวของบันไดเพื่อให้สังเกตเห็นความแตกต่างของบันไดได้อย่างชัดเจน และควรมีราวบันไดทั้ง 2 ข้าง ในระยะ 80 เซนติเมตรจากพื้น รวมถึงติดตั้งแสงสว่างให้เพียงพอ

สีและแสงสว่าง

ผู้สูงอายุส่วนมากจะมีการรับรู้ต่างๆ ลดลงไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น, การรับรส, การได้กลิ่น, การได้ยิน และการสัมผัส ทำให้การจัดการพื้นที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามไปด้วย โดยเฉพาะการปรับแสงสว่างภายในห้องให้มองเห็นได้ชัดเจน รวมถึงการปรับเปลี่ยนวัสดุที่ให้โทนสีแตกต่างกันเพื่อแยกผนังและพื้นให้ชัดเจนเพื่อลดอุบัติเหตุ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการมองเห็นได้ดี

ความเป็นส่วนตัว

พื้นที่ส่วนตัวของผู้สูงอายุ ควรแยกจากพื้นที่เด็กเล็กที่ส่งเสียงดัง เพื่อให้มีความสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน กั้นพื้นที่ เลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติของความแข็งแกร่ง ให้ความสวยเรียบเนียน ป้องกันเสียงระหว่างห้อง ไม่รบกวนการพักผ่อนของผู้สูงอายุ ที่สำคัญติดตั้งได้ง่าย

เพิ่มความสุนทรีย์ในบ้าน

การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ นับเป็นแนวคิดที่ดี ลองปรับเปลี่ยนวัสดุภายในบ้าน เช่นฝ้าเพดาน เพิ่มสีสันภายในห้อง และที่สำคัญเลือกวัสดุที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในอากาศ สลายมลพิษ ลดกลิ่นอับจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เติมอากาศสะอาดสดชื่น ช่วยเรื่องระบบหายใจของผู้สูงอายุได้ดี

จะเลือกอะไร ระหว่าง ซื้อบ้านใหม่ กับ รีโนเวทบ้านเก่า

คงเป็นปัญหาของใครหลายคนเมื่อคิดจะซื้อบ้าน ว่าจะซื้อบ้านที่สร้างใหม่ หรือซื้อบ้านมือสองมารีโนเวทใหม่ดี ต้องบอกไว้ก่อนว่าทั้งการซื้อบ้านใหม่และการรีโนเวทบ้านเก่านั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

หลังจากที่เลือกรูปแบบของบ้าน ว่าต้องการบ้านลักษณะใด เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียมเรียบร้อยแล้ว ยังต้องดูปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน จึงจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยหลักๆ แล้วควรจะคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

1. งบประมาณ

ก่อนที่จะซื้อบ้านควรตั้งงบประมาณไว้ในใจก่อน และศึกษาหาข้อมูลถึงความเป็นไปได้ว่าภายในงบประมาณจำนวนเท่านี้ สามารถซื้อบ้านลักษณะใดได้ แม้เวลาหาข้อมูล จะเห็นว่าราคาบ้านใหม่จะแพงกว่าบ้านมือสอง แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่าเป็นบ้านที่พร้อมเข้าอยู่ได้เลย โดยไม่ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติม

และที่สำคัญการกู้เงินจากธนาคารจะทำได้ง่ายและได้วงเงินเต็ม ในขณะเดียวกัน บ้านมือสอง มักจะมีราคาที่ไม่สูงเท่า แต่หากจะพิจารณาเลือกบ้านมือสอง ก็ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของการซ่อมแซม ค่ารีโนเวท ค่าอุปกรณ์ ค่าช่าง ฯลฯ ที่หากควบคุมไม่ดี ก็จะทำให้งบประมาณบานปลายได้ จนกลายเป็นแพงกว่าบ้านมือหนึ่งไปเสียได้ และยังมีขั้นตอนในการตรวจสอบต่างๆ ที่ยุ่งยากกว่าบ้านใหม่

2. ทำเลที่ตั้ง

ทำเลที่ตั้งก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเลือกบ้านในลักษณะไหนดี และไม่ใช่ดูแค่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ต้องมองไปถึงอนาคตว่าพื้นที่บริเวณนี้จะมีมูลค่ามากขึ้นเท่าไหร่ เพราะหลายคนอาจจะซื้อไว้ลงทุนในอนาคต สำหรับบ้านใหม่ของโครงการต่างๆ ส่วนใหญ่ มักจะมีทำเลที่ห่างจากตัวเมืองออกมาเล็กน้อย แต่ยังส่วนใหญ่โครงการใหญ่ๆ มักจะสร้างติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ติดกับถนนเส้นหลักหรือสะดวกต่อการเดินทาง ซึ่งนับว่าเป็นจุดขายของโครงการบ้านใหม่ โดยเฉพาะในย่านกรุงเทพฯและปริมณฑล

แต่ในขณะเดียวกัน การเลือกซื้อบ้านมือสอง อาจจะได้ทำเลที่ดีกว่า เช่นอยู่ใจกลางเมือง หรือในเขตชุมชน ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบเพราะถ้าเทียบกับบ้านใหม่ ที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ย่อมต้องมีราคาที่สูงมาก

3. ความปลอดภัย

ในปัจจุบันที่มีคดีฉกชิงวิ่งราวเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้หลายคน โดยเฉพาะครอบครัว ตัดสินใจเลือกซื้อบ้านใหม่ในโครงการต่างๆ เพราะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยกว่า และยังมีพนักงานรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิด คอยสอดส่องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในโครงการ

ซึ่งหากเลือกซื้อบ้านมือสองในย่านชุมชนหรือที่ไม่ใช่ตามหมู่บ้านหรือโครงการ ก็อาจจะต้องเพิ่มกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์ที่สามารถดุแลความปลอดภัยให้กับตัวเองและคนในบ้านติดไว้ด้วย

ทั้งนี้ การจะเลือกซื้อบ้านใหม่หรือรีโนเวทบ้านมือสอง ก็ต้องคำนึงถึงไลฟ์สไตล์และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า ทำออฟฟิศ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฯลฯ จะมีลักษณะการใช้พื้นที่และทำเลที่แตกต่างกัน เลือกบ้านให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของคนในบ้าน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเต็มที่

 

สรุป

ทั้งหมดนี้คือ ขั้นตอนวางแผน รีโนเวทบ้าน ที่ไม่ว่าจะเป็นการ รีโนเวทบ้านชั้นเดียว การ รีโนเวทบ้าน 2 ชั้น การ รีโนเวทบ้านไม้ ที่ผ่านกาลเวลามานาน หรือบ้านปูนที่ยังสภาพดีแต่ต้องการตกแต่ง ต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม ก็สามารถนำเทคนิคดี ๆ ที่ UREBUILD(ยูรีบิ้ว)  นำมาฝากกันนี้ไปลองปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมเลย

การรีโนเวท บ้านไม้ เป็นเรื่องที่เจ้าของบ้าน หรือคนที่กำลังวางแผนจะสร้างบ้านไม้ ต้องรู้ไว้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป บ้านไม้ที่สวยงาม ย่อมต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และการ รีโนเวทบ้านไม้ จุดไหนที่มักเกิดปัญหา ต้องมีการซ่อมแซม เพื่อให้บ้านไม้สวยงาม คงทน แข็งแรง เหมือนใหม่อยู่เสมอ

รับรองเลยว่าจะเป็นงานรีโนเวทแบบไหน งานเล็กหรืองานใหญ่ก็ออกมาสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการได้แน่นอน และหากต้องการคำปรึกษาเรื่องบ้านหรือสินค้าและบริการเกี่ยวกับบ้านก็เข้ามาติดต่อทีมช่างมืออาชีพได้ที่ urebuild.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ หน้าเพจ urebuild.com/contact-us/ เบอร์โทรติดต่อโทร 093-6699-647 หรือ กดแอดไลน์ OFFICIAL >> @urebuild (มี@)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!